Saturday, September 8, 2007

บทนำ


บทนำ

ประเทศไทยปกครองด้วยระบบศักดินามานานหลายร้อยปี พวกเจ้าศักดินาจะครองบ้านครองเมือง ตั้งตนเป็นเจ้าของที่ดินทั้งที่ตนไม่เคยออกแรงถางป่าพันไร่ มีอำนาจเป็นเจ้าเหนือหัวเหนือชีวิตผู้คนในบ้านเมือง ดังที่พวกเรารู้จักกันในนามพระมหากษัตริย์, พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน, พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งชื่อของเขาได้บ่งถึงความยิ่งใหญ่กับฟ้าอยู่ในตัว ข้าราชบริพารและไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างต้องทำมาหากินเป็นชาวนาชาวไร่ ไม่มีใครเป็นอิสระ ต้องเป็นไพร่ติดที่ดินสังกัดเจ้าศักดินาคนใดคนหนึ่ง ปีหนึ่งๆไพร่ชายที่มีอายุ ๑๘ ปีขึ้นไปต้องถูกเกณฑ์แรงงานถึง ๖ เดือน คือเข้าเดือนเว้นเดือนโดยไม่มีค่าตอบแทนแม้แต่สตางค์แดงเดียว ซ้ำยังต้องนำข้าวไปกินเอง ทุกคนต้องเป็นข้ารับใช้แรงงาน ไปรบ ไปทำอะไรต่อมิอะไร แม้แต่ไปตายตามที่เจ้าศักดินาสั่ง ต้องทำเช่นนี้จนถึงอายุ ๖๐ ปีจึงจะเป็นไท


ชีวิตไพร่จึงเหมือนวัวควายที่พูดได้ จะอยู่จะตายขึ้นอยู่กับคำสั่งของเจ้านาย หากเจ้าศักดินายกที่ดินให้ใคร ไพร่ติดที่ดินนั้นก็ต้องไปขึ้นกับเจ้าศักดินาคนใหม่ทันที นอกจากนั้นการเพาะปลูกของไพร่ยังต้องถูกเรียกเก็บภาษี ถูกรีดอากรในรูปของเงินและพืชผลอีกหลายประเภท พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากแค้น ต้องทำงานหนักหน่วงไม่เพียงเพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว แต่ยังต้องเลี้ยงเจ้าศักดินาของตน แท้ที่จริงชีวิตของชาวไทยทุกคนมีไว้เพื่อเลี้ยงดูเจ้าศักดินาทั้งสิ้น ใครที่ทนไม่ได้ก็จะหนีไปอยู่ป่าอยู่ดง ไปให้ไกลๆพ้นจากเงื้อมมือการปกครองของพวกเขา คนประเภทนี้เจ้าศักดินาจะไม่รับรองความเป็นคน จะไม่มีสิทธิฟ้องร้อง ร้องเรียนต่อบ้านเมือง ดังได้ตราไว้ในกฎหมายตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาและถอดแบบเป็นกฎหมายตราสามดวงในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ หากคนพวกนี้ถูกค้นพบจะถูกสักข้อมือกลายเป็นไพร่หลวง คือข้ารับใช้ของเจ้าแผ่นดินทันที ชีวิตของพวกศักดินาจำนวนหยิบมือหนึ่งนี้อยู่กันอย่างฟุ้งเฟ้อหรูหรา กินทิ้งกินขว้าง เสพสุขโดยไม่ออกแรงทำงานใดๆทั้งสิ้น ซ้ำยังดูถูกการใช้แรงงานเป็นสิ่งต่ำต้อยหยาบช้า ขณะที่พวกเขาเฝ้าเสพเมถุนเช้ายันค่ำโดยไม่ใยดีว่าเป็นลูกเต้าและเมียใคร แล้วกลับยกย่องสรรเสริญหญิงนั้นว่ามีบุญวาสนาสูงส่งจึงได้บำเรอเจ้าศักดินา หลายยุคหลายแผ่นดินที่ผ่านมา พวกเขายังคงเสวยสุขบนน้ำตา เลือดเนื้อและความขมขื่นของไพร่ฟ้าชาวไทยทั้งหลาย


การที่ระบบศักดินายืนยงอยู่ได้ยาวนาน สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่งคือ การสร้างความนิยมชมชอบให้เกิดขึ้นโดยอาศัยบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งที่ผู้คนศรัทธาเชื่อถืออยู่แล้ว เช่น แอบอิงพระพุทธศาสนา ด้วยการโอ้อวดว่า กษัตริย์คือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า(๑) เพื่อหลอกลวงผู้อื่นให้เข้าใจว่า การปกครองของกษัตริย์นั้นชอบธรรมและทั้งๆที่ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎก ทั้ง๘๔,๐๐๐พระธรรมขันธ์จะรับรองว่ากษัตริย์คือพระโพธิสัตว์เลย พวกเขาก็ยังยืนยันเรียกกษัตริย์ว่า “พระพุทธเจ้าอยู่หัว” ซึ่งเป็นพระนามอันมีไว้เฉพาะพระพุทธองค์ และเรียกลูกกษัตริย์ว่า “หน่อพุทธางกูร” อันหมายถึง ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า ซึ่งเป็นการนำเอาพระนามของพระศาสดาอันประเสริฐที่สุดองค์หนึ่งมาใช้โดยปราศจากความเคารพ เช่น รัชกาลที่ ๑ ซึ่งพวกเจ้าศักดินารุ่น “ร.ศ.๒๐๐” พยายามจะยกขึ้นเป็นมหาราช ถึงกับได้รับคำสรรเสริญจากศักดินาด้วยกันที่แต่งหนังสือเทศนาจุลยุทธการวงศ์ว่า “พระองค์เป็นพงศ์พุทธางกูรทรงบำเพ็ญพุทธการกจริยา...” นอกจากแอบอิงพระพุทธศาสนาแล้ว ยังแอบอิงความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือกันมานานได้อย่างวิจิตรพิสดารนั่นก็คือ การที่พวกศักดินาถือว่ากษัตริย์เป็นเทวดาตั้งแต่ขณะที่มีชีวิตอยู่ จึงสร้างราชาศัพท์ซึ่งมีไว้ใช้เฉพาะกับกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลาย และมีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆอันทำให้แลดูว่ากษัตริย์สูงส่งกว่ามนุษย์ทั่วไป เช่น ห้ามมองดูกษัตริย์ โดยอ้างว่าถ้ามนุษย์มองดูพระเจ้าก็เหมือนมองพระอาทิตย์ กษัตริย์จะไม่ยอมให้เท้าเหยียบแผ่นดินโดยไม่ใส่รองเท้า โดยอ้างว่าเท้าของเทวดาย่อมร้อน ถ้าเหยียบแผ่นดินแล้วไฟจะไหม้โลก(๒) นอกจากนี้ยังห้ามแตะต้องกษัตริย์(๓) ผู้ที่มีสิทธิ์ถูกต้องตัวกษัตริย์ได้จึงมีแต่ช่างตัดผมและนางบำเรอของกษัตริย์เท่านั้น


ไม่เพียงเท่านี้ เจ้าศักดินายังแต่งตำนานโกหกพกลม โดยอ้างกฎแห่งกรรมมาบิดเบือนว่า พวกตนมีบุญญาธิการสูงส่งหาผู้ใดเปรียบเปรยมิได้ ชาตินี้จึงเกิดมาได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ลูกท่านหลานเธอ จึงได้เสวยสุขบรมสุข มีอำนาจเหนือหัวผู้คนทั้งหลาย แท้ที่จริงพระพุทธองค์ไม่เคยตรัสเช่นนั้นเลย ดังจะเห็นได้จากยักคัญสูตรที่พระพุทธองค์ทรงย้ำว่า คนเราแตกต่างกันเพราะการกระทำหาใช่ชาติกำเนิด ในพระสูตรดังกล่าวได้กล่าวถึงกำเนิดของกษัตริย์โดยไม่ยอมรับเลยว่า กษัตริย์นั้นมีบุญมากกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด


๑. กรมพระยาดำรงราชานุภาพ “เรื่องการปกครองของประเทศสยามโบราณ” หนังสืออ่านประกอบคำบรรยายวิชาพื้นฐานอารยธรรมไทย (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)หน้า ๕๔ ๒. มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ”สถาบันกษัตริย์”(มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๒๓)หน้า ๑๔-๒๓ ๓. เรื่องเดิม หน้า ๑๔


2 comments:

A said...

หาเวปโหลดอ่านหนังสือต้องห้ามได้ที่ไหน จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง
paztra@hotmail.com

A said...

ขอบคุณที่ช่วยเปิดหูเปิดตา
หาโหลดอ่านหนังสือต้องห้ามได้ที่ไหน
สนใจอยากรู้มาก